อารยธรรมอินเดียควรรู้ก่อนไปเที่ยว

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ  เริ่มประมาณ  2,500  B.C.  –  1,500 B.C. โดยชาวดราวิเดียน  ต่อมา 1,500  B.C.  –  คริสต์ศักราชที่ 6 เป็นอารยธรรมที่ชาวอารยันสร้างขึ้น จนกลายเป็นแบบแผนของอินเดียต่อมา

อนุทวีปอินเดียมีเทือกเขาฮินดูกูชอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือและเทือกเขาหิมาลัยอยู่ทางทิศเหนือ ทางตะวันตกและออก ตอนใต้ ติดทะเล  ทำให้อินเดียโบราณติดต่อกับภายนอกได้ยาก ทางที่จะเข้าสู่อินเดียได้คือทางช่องเขาตะวันตกเฉียงเหนือ เป็นทางที่พ่อค้า  และผู้รุกรานจากเอเชียกลางเข้าสู่อนุทวีป

            อารยธรรมลุ่มน้ำสินธุ ถูกสร้างขึ้นโดยชาวดราวิเดียน (มิลักขะหรือ ทมิฬ) ชนพื้นเมืองเดิมของอินเดียผิวดำ ร่างเล็ก จมูกแบนพูดภาษาตระกูลดราวิเดียน (ทมิฬ )   มีการค้นพบหลักฐานเมื่อค.ศ. 1856 เมื่อมีการก่อสร้างทางรถไฟบริเวณลุ่มน้ำสินธุ  ค้นพบซากสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่   ค.ศ.1920 ปรากฏเป็นรูปเมือง บริเวณเมือง ฮารัปปา(Harappa)  และเมืองโมเฮนโจ  ดาโร(Mohenjo  Daro)  อายุประมาณ 2500 ปีก่อนค.ศ.  หลักฐานที่ค้นพบจัดเป็นอารยธรรมยุคโลหะมีสังคมเมือง ป้อมปราการขนาดใหญ่ มีสระอาบน้ำสาธารณะนักโบราณคดีสันนิฐานว่าอาจเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา   มีการวางผังเมือง ตัดถนน มีกำแพงอิฐ  บ้านเรือนสร้างด้วยอิฐ มีระบบระบายน้ำสองท่อดินเผาอยู่ข้างถนน  เพื่อรับน้ำที่ระบายจากบ้าน  มีอักษรภาพใช้     พบโบราณวัตถุรูปแกะสลักหินชายมีเครามีแถบผ้าคาดมีตราประทับตรงหน้าผาก  รูปสำริดหญิงสาว รูปแกะสลักบนหินเนื้ออ่อน  เครื่องประดับ สร้อยทองคำ สร้อยลูกปัด      มีการเพาะปลูกพืชเกษตรเช่นฝ้าย ข้าวสาลี ถั่ง งา ข้าวโพด    พบหลักฐานการค้ากับต่างแดนทั้งทางบกและทางทะเล  เช่นเปอร์เชีย แอฟกานิสถาน เมโสโปเตเมีย  ธิเบต  โดยพบโบราณวัตถุหอยสังข์จากอินเดีย หินสี เงิน อัญมณีจากเปอร์เชีย แอฟกานิสถาน หยกจากธิเบต และมีการขุดค้นพบอารยธรรมนี้กว่า 100 แห่งบริเวณแม่น้ำสินธุ ส่วนใหญ่อยู่ในปากีสถาน

ต่อมาชาวอินโด-อารยัน ผิวขาว ร่างสูง จมูกโด่งพูดภาษาตระกูลอินโด- ยูโรเปียน(ภาษาสันสกฤต) อพยพมาจากแถบทะเลสาบแคสเปียน บุกรุกเข้ามาทางเทือกเขาฮินดูกูช มายังลุ่มน้ำสินธุขยายความเจริญมาทางลุ่มแม่น้ำคงคา  ชาวดราวิเดียแพ้สงครามต้องเคลื่อนย้ายลงไปทางใต้  สู่ภาคกลางและภาคใต้ของอินเดีย   ต่อมาถูกชาวมุสลิมเตอร์กรุกรานทำให้ศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแพร่ในอินเดีย

อินเดียสมัยโบราณแบ่งเป็น 5 สมัย

  1. สมัยอินโด- อารยันรุกราน  (2,500- 2,000  C.) เป็นสมัยที่มีการรุกรานระยะแรกและเกิดการสู้รบระหว่างชาวดราวิดียนและอารยันมีการขยายตัวไปทางตะวันออก
  2. สมัยพระเวท (2,000 -1,000 C.)สมัยที่อารยันได้รับชัยชนะ มีการตั้งถิ่นฐานและสถาปนาเป็นอาณาจักรเล็กๆ มีราชาเป็นผู้นำทางการปกครอง พวกมิลักขะหรือดราวิเดียนถอยลงไปอยู่ทางตอนใต้ อารยันรับเอาขนบธรรมเนียมประเพณีของดราวิเดียนมาใช้ ต่อมาพวกอารยันได้กำเนิดระบบวรรณะขึ้น         เพื่อแบ่งแยกและรักษาความบริสุทธิ์ทางเชื้อชาติ    มีคัมภีร์พระเวท เป็นคัมภีร์ทางศาสนาและวิถีชีวิต วัฒนธรรมของอารยัน
  3. สมัยมหากาพย์(1,000 – 500 C.) เกิดอาณาจักรใหม่บริเวณลุ่มน้ำคงคามีลักษณะเป็นนครรัฐอิสระ “ ราชา” เป็นผู้ปกครอง แบบราชาธิปไตย (monarchy) มีฐานะเป็นสมมุติเทพ เช่น อาณาจักรมคธ  วัชชั  อวันตี วิเทหะ ฯลฯ มีการแบ่งวรรณะชัดเจน 4 วรรณะ พราหมณ์  กษัตริย์(นักรบ)  แพศย์  ศูทร(ทาส)  มีการติดต่อค้าขายทางเรือ กับอาณาจักรเมโสโปเตเมีย อียิปต์ อาราเบีย    สมัยนี้จะมีวรรณกรรมที่สำคัญ คือ มหากาพย์มหาภารตยุทธ เป็นสงครามกลางเมืองที่ทุ่งกุรุเกษตรระหว่างตระกูล ปาณฑพและเการพต้นตระกูลเป็นเชื้อสาย อินโด-อารยัน  มีการสอดแทรกบทบาทหน้าที่ของคนที่อยู่ในสังคม ดังปรากฎใน “ภควัทตีคา” สอนในคนทำหน้าที่ของตนในสังคมให้ครบถ้วย    และมหากาพย์รามายณะ ที่สะท้อนให้เห็นถึงการแบ่งชั้นวรรณะ การขยายอาณาเขตของอารยันไปทางตอนใต้ทำสงคราม ปราบชาวดราวิเดียน
  4. สมัยจักรวรรดิ ( 321 C. – 220 A.D.) ช่วง 6 B.C. มีอาณาจักรทางเหนือที่เข้มแข็ง 2   อาณาจักรคือ มคธ นำโดย (พระเจ้าพิมพิสาร) และแค้วนโกศล ที่ขยายอำนาจปกครองดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย  ต่อมาถูกเปอร์เชียรุกราน ต้นศตวรรษที่ 3 ก่อนค.ศ. พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งมาซิโดเนีย  (กรีก) ยกทัพมารุกรานครองตอนเหนือของอินเดีย   ทำให้อินเดียได้รับอิทธิพลการเขียนอักษรแบบอารบิคจากเปอร์เชีย (ต่อมาพัฒนาเป็นอักษร ขโรษติ โดยพระเจ้าอโศกมหาราชใช้เขียนจารึก) การทำเหรียญเงิน

      ช่วง  4  B.C. เกิดจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่คือ โมริยะ หรือเมารยะ ยึดแค้วนมคธ แล้วขยายอาณาจักรไปทางตะวันตกฉียงเหนือ ตะวันตก ภาคเหนือ ใต้  มีการติดต่อค้าขายกับเอเชียไมเนอร์ กรีก เมโสโปเตเมีย   มีกษัตริย์องค์แรกคือพระเจ้าจันทรคุปต์  กษัตริย์ที่มีชื่อเสียงคือพระเจ้าอโศกมหาราช( 273-236 B.C.) มีอำนาจหลักการปกครองที่สำคัญใช้จากคัมภีร์อรรถศาสตร์  (เกาฏิลยะ) แสดงให้เห็นว่ากษัตริย์ทรงมีอำนาจสูงสุด ในการบริหารราชการ ตรากฏหมาย การศาล การทหาร      สมัยนี้มีการสร้างถนนเชื่อมภาคตะวันตกเฉียงเหนือ  กับกรุงปาฏลีบุตร ทำสำมะโนประชากร   ต่อมาพระเจ้าอโศกมหาราชได้หันมานับถือศาสนาพุทธ  ทรงให้มีการจารึกบนเสาหินที่ตั้งอยู่ตามดินแดนต่างๆเป็นหลักของศีลธรรมที่สอดคล้องกับทุกศาสนา (เรียก หัวเสาสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช)

 ราชวงศ์โมริยะได้สิ้นสุดลงราว 186 ปีก่อน  ต่อมา ค.ศ. ที่ 1 พวกกุษาณะผู้เร่ร่อนปกครองตอนเหนืออินเดียมีกษัตริย์ที่สำคัญคือ พระเจ้ากนิษกะปกครองดินแดนที่เรียกว่าแคว้นคันธาระ   ทรงนับถือพุทธให้กำเนิดนิกายมหายาน  โปรดให้จารึกคำสอนของพระพุทธองค์ลงบน แผ่นทองแดง                                                                                                                                       

 5  สมัยคุปตะ (320-550 A.D.)   ถือว่าเป็นยุคทองของฮินดูทางตอนเหนือ   ต้นคริสต์ ศตวรรษทที่ 4 พระเจ้าจันทรคุปต์ที่ 1 ตั้งราชวงศ์คุปตะที่เมืองปัตลีบุตร โอรสของพระองค์ ชื่อ พระเจ้าสมุทรคุปต์ ทรงขยายดินแดนออกไปกว้างไกล ทรงทำเหรียญทองสลักเรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์ แล้วนำไปไว้ที่เสาหินของพระเจ้าอโศก ราชวงศ์คุปตะรุ่งเรืองมากในสมัยของพระเจ้าจันทรคุปต์ ที่ 2 (ค.ศ.376-415) เพราะนอกจากจะชนะพวกสากะแล้ว ทรงรวมดินแดนตะวันออกและทางเหนือไว้ในอำนาจ  ทรงสนับสนุนศิลปะ วิทยาศาสตร์ วรรณคดี  กวีที่มีชื่อเสียงในสมัยนี้ คือ กลิทัษ      

การปกครองสมัยคุปตะเป็นแบบกระจายอำนาจไปตามท้องถิ่น การค้าเจริญขึ้นมาก มีการค้าขายมากขึ้นกับเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หมู่เกาะอินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา และประเทศไทย พ่อค้าที่ร่ำรวยนิยมบริจาคเงินเพื่อสร้างงานสำคัญทางศาสนา เช่น สถูปที่สัญจี อมาราวาตี ฯลฯ วัดพุทธกลายเป็นเจ้าของที่ดินมากมาย ภาษาสันสกฤตกลายเป็นภาษาของผู้รู้หนังสือและเป็นภาษาที่ใช้ในราชการ มีหนังสือกามสูตรเกิดขึ้น เป็นหนังสือที่ชี้ถึงความสำคัญของชีวิตคู่และเพศสัมพันธ์